Foster The People เตรียมมาแชร์ประสบการณ์ทางดนตรี กับอัลบั้มใหม่ล่าสุด “Sacred Hearts Club” และเป็นการแสดงที่ประเทศไทยเป็นครั้งแรก

Foster The People เตรียมมาแชร์ประสบการณ์ทางดนตรี กับอัลบั้มใหม่ล่าสุด “Sacred Hearts Club” และเป็นการแสดงที่ประเทศไทยเป็นครั้งแรก
© Neil Krug

Foster The People วงศิลปินจากเมืองลอสแอนเจลิส แคลิฟอร์เนีย ที่เริ่มก่อตั้งขึ้นโดยนักร้องนำ Mark Foster ในปี 2009 พวกเขาที่ได้เข้าชิงรางวัล Grammy ถึง 3 ครั้งกับอัลบั้ม “Torches” และ เพลง “Pumped Up Kicks” ได้ติด #1 ของชาร์ท Billboard ในหมวดเพลง Alternative อีกด้วย ถือได้ว่า พวกเขาประสบความสำเร็จจริง ๆ เพราะหลังจากนั้น ก็ได้ออกผลงานเพลงให้แฟนคลับได้ฟังกันเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นซิงเกิ้ล, EP และ LP อย่าง “Supermodel” และ “Sacred Hearts Club” เมื่อปีที่แล้ว

“Sacred Hearts Club” ได้การตอบรับเป็นอย่างดี เนื่องจากทุกผลงานเพลงที่ออกมานั้น มีความคิดสร้างสรรค์อยู่ในตัว และสร้างความประทับใจให้กับแฟนเพลงทั้งหลาย นอกเหนือเพลงอย่าง "Loyal Like Sid and Nancy", "SHC" และ "Pay Man" ผลงานทั้ง 12 แทร็คเร็กคอร์ดนั้นได้นำเสนอแนวเพลงที่ไม่เหมือนใครซึ่งผสมผสานดนตรีแนวแดนซ์บีทเข้ากับสไตล์ของ Mark Foster ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเป็น Foster The People มากขึ้นในอีกระดับหนึ่ง

หลังจากการปล่อยตัวของอัลบั้ม พวกเขาได้ลงมือทัวร์คอนเสิร์ตทั่วโลกโดยเริ่มจากอเมริกาเหนือ ซึ่งมีทั้งหมด 31 วัน และประกอบด้วยการแสดงทั่วประเทศรวมไปถึงเฟสติวัลอย่าง Lollapalooza, Bumbershoot Festival และ The Meadows Music & Arts Festival พวกเขาเริ่มต้นปี 2018 กับการไปแสดงที่ออสเตรเลีย จีน ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ ไทย สิงคโปร์ และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งแน่นอนว่า ไม่มีผิดหวังแน่นอน

เราได้มีโอกาศพูดคุยกับนักคีย์บอร์ด Isom Innis ก่อนการแสดงคอนเสิร์ตของพวกเขาในไต้หวัน ซึ่งพวกเขาได้เตรียมมาแชร์ประสบการณ์ทางดนตรี กับอัลบั้มใหม่ล่าสุด “Sacred Hearts Club” และการแสดงที่ประเทศไทยเป็นครั้งแรก

© Neil Krug

สวัสดีค่ะ Isom ขอบคุณที่สละเวลามาสัมภาษณ์กับเรานะคะ

ด้วยความยินดีครับ

หลังจากที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีกับเพลง "Pumped Up Kicks" คุณช่วยอธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงของดนตรีของจากอัลบั้ม "Torches" ไปจนถึง "Sacred Hearts Club" ได้ไหม?

อัลบั้ม "Sacred Hearts Club" เป็นเพลงที่มีรากฐานมาจาก hiphop, electronic music และ psychedelic ซึ่งจริง ๆ แล้วมันผสมผสานแนวต่าง ๆ เข้าด้วยกันเป็นจำนวนมาก และผมคิดว่าเราเอาแนวยุค 60s ปลาย ๆ มาผสมผสานกับ post-punk จากช่วงปลาย 1970 ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของ hiphop ในช่วงปลายยุค 80 เราต้องการที่จะวางรากฐานในเพลงที่เราแต่งขึ้นมาจริง ๆ “Life on the Nickel”, “Call It What You Want” และเนื้อเพลงของ “Pumped Up Kicks” จากอัลบั้ม Torches ได้รับความนิยมจาก hiphop ดังนั้นในผลงานนี้ เราจึงเลือกที่จะทำเพลงจากยุคนั้น และสร้างผลงานเหล่านั้นด้วยความลึกซึ้งมากขึ้น แต่เท่าที่เราเขียนเร็กคอร์ดมา เรามักทำตามสัญชาตญาณของเราและเราต้องการวิวัฒนาการทางดนตรี และไม่เคยทำเพลงซ้ำกันถึงสองครั้ง

นั่นเป็นเหตุผลที่เรามักจะได้เห็นถึงความแตกต่างกันในแต่ละครั้งจากผลงานของ Foster The People ใช่ไหมคะ

ใช่แล้วครับ

Play Icon

อัลบั้มของคุณต้องใช้เวลาหลายปีในการทำจนเสร็จสมบูรณ์ คุณเล่าเรื่องราวเบื้องหลังของการทำ "Sacred Hearts Club" ได้ไหม?

เราใช้เวลาทำอัลบั้มนี้ 3 ปี ซึ่งเป็นการสร้างผลงานเพลงที่เราไม่ได้เจาะจงถึงแนวเพลงใด ๆ ทั้งสิ้น เร็กคอร์ดนี้เป็นการนำความคิดและการทดลองของพวกเราเข้ามาล้วน ๆ แต่หลังจากผ่านไปหนึ่งปีครึ่งแล้ว เราคิดว่าเราต้องการโปรดิวเซอร์ภายนอกมาช่วยเราทำเร็กคอร์ดนี้ให้เสร็จ ซึ่งได้ทำงานร่วมกับโปรดิวเซอร์ที่น่าทึ่งอย่าง Oliver Goldstein, Lars Stalfors, Patrik Berger และ John Hill พวกเขาช่วยเราในการจัดระเบียบของเพลงให้เหมาะสมมากขึ้น นอกเหนือจากมาร์คและผมที่เป็นโปรดิวเซอร์ พวกเขาก็ช่วยผลักดันให้การทำเร็กคอร์ดนี้ผ่านไปได้ด้วยดีครับ

Play Icon

การที่ผสมผสาน hiphop และ dance ทำให้เร็กคอร์ดใหม่นี้เป็นความท้าทายสำหรับคุณในฐานะโปรดิวเซอร์ไหม?

เราได้ทำเพลงให้กับศิลปินมาประมาณหกปีแล้ว ดังนั้นสิ่งที่เราได้เรียนรู้อะไรหลาย ๆ อย่างด้วยตัวเองไม่น้อย ส่วนผมมักจะผสมผสานฮิปฮอปและแดนซ์อยู่เสมอ เช่นในเพลงอย่าง "Loyal Like Sid and Nancy" และ "Pay Man" เป็นเพลงแดนซ์ที่ผมได้ทำไว้ ซึ่งตอนแรกไม่ควรจะเป็นเพลงแนว Foster The People เลย แต่ผมได้ให้มาร์คฟังในสตูดิโอและเขาก็นำมาใช้ ซึ่งนำพาวงเราไปในอีกทิศทางหนึ่ง และทั้งสองเพลงก็เริ่มออกเป็นจังหวะฮิปฮอป atonal เพื่อเปิดตามคลับ แต่เขาก็จบลงด้วยการใส่ดนตรีออเคสตร้า

สำหรับ "Loyal Like Sid and Nancy" ได้เพิ่มดนตรี crescendo ที่สวยงามนี้หลังจากจังหวะแดนซ์บีท ซึ่งทำให้เพลงนั้นมีความชัดเจน มันเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นสำหรับเราที่ได้ทดลองและวางแนวเพลงได้ เพราะเราสามารถนำแนวทางของเพลงเหล่านั้นมาพัฒนาผลงานเพลงของเราได้ในอนาคต

© Neil Krug

“Loyal Like Sid and Nancy” เป็นหนึ่งในเพลงที่ฉันชอบเลยค่ะ!

มันก็เป็นหนึ่งในเพลงโปรดของผมเช่นกัน ซึ่งเราได้ปิดการแสดงของเรากับมันด้วย “Loyal Like Sid and Nancy” มีเป้าหมายที่จะแสดงบนเวทีอยู่แล้ว เราจงใจทำเพลงนี้เพื่อเล่นเพลงที่เทศกาลดนตรีและการแสดงคอนเสิร์ตใหญ่ ๆ

คุณและมาร์คต่างก็สามารถจัดการกับปัญหาที่ขัดแย้งกันได้อย่างละเอียดในเรื่องของการแต่งเพลงในอัลบั้ม คุณจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?

มาร์คเขาจะพูดว่า "ใช้ความสุขเป็นอาวุธ" เพราะโลกกำลังผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากตอนนี้ เพราะฉะนั้นมันเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับเรามาก ในการสร้างอัลบั้มที่มีความ "celebratory" ซึ่งเป็นเร็กคอร์ดที่เฉลิมฉลองความแตกต่างที่ทำให้เราเป็นมนุษย์ทั้งหมด

จากมุมมองของผู้ฟังเพลงของคุณ การฟังเพลงที่แฝงความหมายเหล่านั้น เป็นสิ่งที่น่าชื่นใจและดีมากในเวลาที่ทุกข์ใจ

ใช่เลย เราต้องการที่จะสื่อความสุขและความสามัคคีในเพลงของเรา โดยเฉพาะในประเทศของเราตอนนี้ แต่จริง ๆ แล้ว ทั่วโลกมีความหลากหลายมากขึ้น - ในด้านการเมือง ความเท่าเทียมทางเพศ การเหยียดสีผิว การเป็นพวกรักร่วมเพศ เป็นสิ่งสำคัญสำหรับเราที่จะส่งเสริมความสามัคคี

Play Icon

คุณตื่นเต้นกับการทัวร์ “Sacred Hearts Club” ที่โซนเอเซียไหม?

การเดินทางไปหลายประเทศเพื่อเล่นดนตรี เป็นเรื่องที่เกินความฝันของเรามาก ๆ เลย นี่เป็นครั้งแรกที่เรามาเมืองไทยและเป็นครั้งแรกที่เรามากรุงเทพฯ ซึ่งเป็นโชว์ก่อนโชว์สุดท้ายของทัวร์นี้ เราตื่นเต้นมากที่ได้ดื่มด่ำกับวัฒนธรรมที่นี่และได้พบปะกับแฟนเพลงชาวไทยของเรา ไม่มีอะไรที่ดีไปกว่าการเล่นในประเทศนี้เป็นครั้งแรกอีกแล้ว และจะแบ่งปันเพลงของเรากับแฟน ๆ เป็นครั้งแรกกับทัวร์นี้

พูดถึงทัวร์ของพวกคุณ คูณมีเซ็ทลิสต์เพลงที่คุณจะเล่นจากอัลบั้มเก่า ๆ บ้างไหม?

แน่นอน! พวกเราจะเล่นเพลงจากทั้งสามอัลบั้มเลย นั่นก็คือ “Torches”, “Supermodel” และ “Sacred Hearts Club”

ขอแสดงความยินดีกับการทำงานที่จีนที่คุณเพิ่งไปมาด้วย! ฉันหวังว่าคุณจะได้ไปเที่ยวชมครั้งนี้นะคะ

ขอบคุณมากครับ! เรารู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้เดินทางมายังประเทศไทย และประเทศอื่นในเอเซีย พวกเราตื่นเต้นมากที่ได้กลับมาเอเชียอีกครังจริง ๆ !

ขอบคุณมากครับ! เรารู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้เดินทางมายังประเทศไทย และประเทศอื่นในเอเซีย พวกเราตื่นเต้นมากที่ได้กลับมาเอเชียอีกครังจริง ๆ !

ขอบคุณเช่นกันครับ

อย่าพลาดโอกาสที่จะได้เจอกับวง Foster The Peopleในคอนเสิร์ตทัวร์ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 ที่ Moonstar Studio 8 สามารถซื้อบัตรในราคา 2600 บาทจาก Ticket Melon ได้แล้ว!

ซื้อบัตร Foster The People ได้แล้ว

ติดตามข่าวสารและข้อมูลต่าง ๆ ได้ผ่านทางโซเชียลเมเดียหลักของ Foster The People:

Klook.com

บทความอื่น

รวมบทความน่าสนใจ โดยทีม Siam2nite

  1. 10 มิกซ์ที่คุณควรจะลองฟังตอนนี้

    10 มิกซ์ที่คุณควรจะลองฟังตอนนี้

    ไม่ว่าคุณกำลังมองหาเพลงสำหรับบิ้วอารมณ์ในการอ่านหนังสือ, ไว้ใช้สำหรับเวลาเข้ายิม, ฟังเพื่อผ่อนคลายความเครียด หรือจะหาเพลงฟังเวลาขับรถ - เรามีทางเลื...

    ดนตรี · 12 มกราคม 2018
  2. เซิ้งกันยันเช้ากับ 4 สุดยอดวงหมอลำอิสาน ที่ต้องไปดูด้วยตัวเองสักครั้ง

    เซิ้งกันยันเช้ากับ 4 สุดยอดวงหมอลำอิสาน ที่ต้องไปดูด้วยตัวเองสักครั้ง

    เมื่อเสียงลำนำเอื้อนช้าแว่วมาตามคันนา เหล่าชาวนาและชาวบ้านผู้เหนื่อยล้าจากฤดูทำนาในช่วงเดือนตุลาคมก็รู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นมาอีกครั้ง ต่างสตาร์ทรถเ...

    ดนตรี · 3 มกราคม 2018
  3. Fungjai Awards 2017: งานประกาศรางวัลเพื่อชุมชนคนดนตรี ที่สร้างสรรผลงานดีในปี 2017

    Fungjai Awards 2017: งานประกาศรางวัลเพื่อชุมชนคนดนตรี ที่สร้างสรรผลงานดีในปี 2017

    ในวันที่ 29 พฤจิกายน 2560 ณ Studio9 Show DC มีการจัด Exclusive Private Party ขึ้นโดยทีมงานฟังใจ เพื่อเป็นการขอบคุณนักดนตรีที่สร้างสรรค์ผลงานดีๆ ตลอ...

    ดนตรี · 15 ธันวาคม 2017
  4. เดอะแร็ปเปอร์ ไทยแลนด์ ซีซั่น 1: เปิดเวทีเฟ้นหาสุดยอดแร็ปเปอร์เลือดใหม่ของเมืองไทย

    เดอะแร็ปเปอร์ ไทยแลนด์ ซีซั่น 1: เปิดเวทีเฟ้นหาสุดยอดแร็ปเปอร์เลือดใหม่ของเมืองไทย

    ประเทศไทยของเราผลิตรายการเรียลลิตี้ใหม่ๆ ออกมาจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นโชว์ที่มีการแข่งขันเป็นตัวเดินรายการ นับตั้งแต่ปี 2004 อะคาเดมีแฟนตาเซีย เ...

    ดนตรี · 17 พฤศจิกายน 2017

ซีรีส์บทความ

เรื่องราวดีๆ ที่เราเลือกสรรมาอัพเดทให้คุณเป็นประจำ